แรงบันดาลใจของยุคสมัยแห่งเรื่องอัศจรรย์จากศิลปินเดนมาร์ก
Published : พฤษภาคม 7, 2024 | Blog | Editor :

“ช่วงเวลาแสนสุขคือตอนที่ฉันวาดภาพ”
ถ้าพูดถึงศิลปินจากประเทศต่าง ๆ คุณนึกถึงใครบ้าง
ฝรั่งเศส — อ็องรี มาติส
สเปน — ปาโบล ปิกัสโซ่
เนเธอร์แลนด์ — วินเซนต์ ฟาน ก๊อก
… แล้วศิลปินจาก ‘ประเทศเดนมาร์ก’ ล่ะ คุณพอจะคุ้นชื่อคนไหนบ้างไหม
นวนิยาย ‘ชีวิตอัศจรรย์ที่ฮิปโปมอบให้ฉัน’ เต็มไปด้วยสีสันและเสียงเพลง นั่นเพราะเรื่องราวถูกเล่าผ่านสายตาของตัวละครที่หลงใหลงานศิลปะและดนตรี
นับตั้งแต่วันที่พ่อพาเอสเธอร์ไปเยือนพิพิธภัณฑ์สถานศิลปะแห่งเดนมาร์ก (The National Gallery of Denmark) เธอก็ตกหลุมรักงานศิลปะแบบหมดใจ สิ่งที่มีอิทธิพลกับเธอมากที่สุดคือศิลปะแบบโฟวิสม์ (Fauvism) ซึ่งใช้สีสันสดใสทรงพลังจนทำให้จิตวิญญาณของผู้ชมพลุ่งพล่าน
ภาพสีสันเจิดจ้าเหล่านั้นทำให้เอสเธอร์ตัวน้อยได้แต่ “ยืนตะลึงอ้าปากค้างน้ําตาแห่งความปีติไหลอาบลงมาตามแก้ม” วินาทีนั้นเธอรู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์พิเศษ คือความสามารถในการมองเห็นสีสันได้ลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป และเธอมั่นใจแล้วว่าจะโตไปเป็นศิลปิน
“การได้วาดภาพคือสิ่งที่ฉันต้องการ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันคือวิธีการหายใจของฉัน และเป็นสิ่งที่ใกล้เตียงที่สุดกับการฝันในขณะลืมตาตื่น”
สำหรับโพสต์นี้ เราขอพาทุกคนย้อนเวลากลับในช่วงศตวรรษที่ 19 ไปรู้จักศิลปินเดนมาร์กบางคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวละครในเรื่องนี้ อันที่จริงแล้วในหนังสือกล่าวถึงหลายสิบชื่อ แต่แค่ 4 คนนี้ คุณก็ต้องรู้สึกอัศจรรย์ใจในสีสันและลายเส้นแล้ว
1. Christoffer Wilhelm Eckersberg
จิตรกรชาวเดนมาร์กผู้วางรากฐานในยุคทองของจิตรกรรมเดนมาร์ก และได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งจิตรกรรมเดนมาร์ก”
2. Jens Søndergaards
จิตกรที่จะพาคุณไปสัมผัสพลังอำนาจของธรรมชาติและท้องทะเลผ่านสีสันบนผลงาน
3. Anne Marie Carl Nielsen
ประติมากรหญิงที่ชอบถ่ายทอดผลงานในธีมสัตว์เลี้ยง ผู้คน และตำนานนอร์ดิก
4. Vilhelm Hammershøi
ความเงียบสงบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ คือเอกลักษณ์ในผลงานของจิตกรคนนี้

Christoffer Wilhelm Eckersberg (ค.ศ. 1783-1853)
เอ็คเคิร์สเบิร์กเกิดที่ Blåkrog ในภูมิภาคจูทแลนด์ ทางใต้ของเดนมาร์ก เขาได้เรียนรู้ศิลปะขั้นพื้นฐานจากบิดาที่เป็นช่างไม้และช่างทาสีบ้าน หลังจากเป็นลูกมือให้จิตรกรอยู่สองคน เขาก็ได้เข้าเรียนที่ The Royal Danish Academy of Art โดยมีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นช่างวาดภาพประวัติศาสตร์ เพราะในยุคนั้นใครก็ตามที่เป็นจิตกรในสายนี้จะได้รับการชื่นชมมากกว่าสายอื่น
เนื่องจากเป็นคนมีฝีมือและผลการเรียนก็อยู่แถวหน้าเสมอ เอ็คเคิร์สเบิร์กจึงได้ไปเรียนต่อที่ปารีส ที่นั่นเขาฝึกฝนด้วยการวาดภาพนาน 5-6 ชั่วโมงทุกเช้า เขาออกเดินทางไปทั่วทั้งในเมืองและชนบทเพื่อสังเกตชีวิตประจำวันของสิ่งที่อยู่รอบตัวแล้วนำมาสร้างสรรค์ผลงาน
เอ็คเคิร์สเบิร์กเดินทางกลับประเทศในปี 1810 ตอนเขาอายุ 27 ปี เป็นช่วงที่ประเทศเดนมาร์กพังเสียหายยับเยินจากการที่นโปเลียนพ่ายแพ้สงครามและกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟู ซึ่งนับระยะเป็นเริ่มต้น ‘ยุคทองของจิตรกรรมเดนมาร์ก’
หลังจากได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ที่ The Royal Danish Academy เขาก็เริ่มผลักดันศิลปินรุ่นใหม่โดยการแนะนำให้บรรดานักเรียนออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามชนบทรอบกรุงโคเปนเฮเกน และยังสอนคลาสวาดภาพนู้ด ด้วยการสอนและมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมากนี้เอง ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งจิตรกรรมเดนมาร์ก”
นอกจากนี้ เอ็คเคิร์สเบิร์กยังเป็นศิลปินที่สนใจเรื่องการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เขานำความรู้พื้นฐานทางเรขาคณิตมาปรับใช้เพื่อถ่ายภาพทอดธรรมชาติ เขาเชื่อว่าไอเดียต่าง ๆ ซุกซ่อนอยู่ในธรรมชาติรอบตัวเรานี้เอง

Jens Søndergaards (ค.ศ. 1895 – 1957)
“ผมว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณได้ สิ่งนั้นคือธรรมชาติ”
ซินเดอร์กอร์ดเป็นจิตกรแนวเอ็กซ์เพรสชันนิสม์ชาวเดนมาร์ก เขามักจะวาดภาพทิวทัศน์ให้มีสีสันฉูดฉาดรุนแรงกว่าความเป็นจริง ซึ่งให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจของธรรมชาติและท้องทะเล ผลงานเหล่านี้สร้างชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เขาเกิดในเมืองเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะมอรส์ มีบิดาเป็นช่างวาดภาพซึ่งหันมาเปิดร้านขายจักรยานในเวลาต่อมา หลังเรียนจบจากโรงเรียน ซินเดอร์กอร์ดก็เริ่มฝึกเพื่อเป็นช่างวาดภาพเช่นกัน และได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่ง เขาพยายามหาทางแจ้งเกิดในฐานะศิลปินระหว่างที่หางานทำ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและได้รับให้เข้าศึกษาที่ the Royal Danish Academy of Fine Arts
ในปี 1920 ซินเดอร์กอร์ดได้จัดผลงานแสดงภาพส่วนตัว และเริ่มออกเดินทางไปยังปารีส ทางใต้ของฝรั่งเศสและอิตาลี โดยมีการจัดแสดงผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเสียชีวิต

Anne Marie Carl Nielsen (ค.ศ. 1863-1945)
แอนน์ มารี คาร์ล นีลเซน ประติมากรหญิงชาวเดนมาร์กที่ชอบถ่ายทอดผลงานในธีมสัตว์เลี้ยงและผู้คน โดยมีการแสดงการเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ โดยเธอชอบถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นตำนานนอร์ดิก และเป็นผู้หญิงคนแรก ๆ ที่ได้รับการยกย่องอย่างจริงจังในฐานะประติมากร
เธอเกิดทางตอนใต้ของภูมิภาคจูทแลนด์ เนื่องจากที่บ้านทำฟาร์ม เธอจึงเติบโตมาแบบใกล้ชิดและมีความเอ็นดูสัตว์ต่าง ๆ งานชิ้นแรกของเธอตอนอายุ 12 ขวบ เป็นตัวลูกกวางที่เลี้ยงไว้ หลังจากนั้น เธอตัดสินใจศึกษาต่อทางด้านศิลปะและงานช่างไม้ตอนอายุ 17 ปี ถึงแม้พ่อกับแม่จะไม่เห็นด้วย นอกจากนี้ แอนน์ มารี ยังหาทางเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายสัตว์เพิ่มเติมจากคลีนิกรักษาสัตว์แถวบ้าน
ช่วงต้นทศวรรษ 1880 เธอย้ายไปกรุงโคเปนเฮเกนและเริ่มเรียนกับอาจารย์ด้านประติมากรแบบจริงจัง ซึ่งเป็นช่วงนั้นเองที่แววความเป็นศิลปินเริ่มฉายออกมา และได้ส่งผลงานร่วมนิทรรศการเป็นครั้งแรก เธอปั้นรูป ‘ธอร์กับงูยักษ์แห่งมิดการ์ด’ ตามตำนานเทพปกรณัมของนอร์ส ซึ่งประติมากรรมน้ำพุชิ้นนั้นได้รับรางวัลชนะเลิศ
แอนน์ มารี เป็นศิลปินคนหนึ่งที่เรียกร้องความเท่าเทียมทางด้านการศึกษาให้ผู้หญิงในสมัยนั้น และเป็นผู้ก่อตั้ง Society of Women Artists รวมถึงคอยสนับสนุนให้ศิลปินหญิงมีโอกาสจัดงานนิทรรศการในยุคที่วงการศิลปะถูกขับเคลื่อนโดยศิลปินชายเป็นหลัก
ถึงแม้เธอจะมีบทบาทสำคัญทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง รวมถึงมีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ เช่น The Mermaid รูปปั้นนางเงือกซึ่งตั้งอยู่ที่ Royal Danish Library แต่สิ่งที่เธอทำกลับไม่มีใครเห็นคุณค่ากระทั่งเธอเสียชีวิต

Vilhelm Hammershøi (ค.ศ. 1864-1916)
วิลฮีล์ม นับเป็นจิตรกรชาวเดนมาร์กผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานการวาดภาพเหมือนบุคคล และภาพการตกแต่งภายในของห้องที่ดูสงบเงียบ แต่เต็มไปด้วยอารมณ์ สิ่งที่เขานำเสนอในผลงานนั้นสวนทางกับสภาพสังคมที่กำลังก้าวสู่โลกสมัยใหม่แต่ เทคนิคของเขานั้นเรียบง่ายและเป็นตัวแทนของผลงานในช่วง ‘ยุคทองของจิตรกรรมเดนมาร์ก’
ส่วนใหญ่งานของเขาจะเป็นภาพวาดคน สถาปัตยกรรม และการตกแต่งภายใน บางครั้งเขาจะเดินทางไปตามชนบทที่ห่างไกลเพื่อวาดภาพทิวเขา ต้นไม้ บ้านไร่ และทิวทัศน์รูปแบบอื่น ในบรรดาภาพทั้งหมดของเขา ภาพวาดการตกแต่งภายในนั้นได้รับคำชื่นชมมากที่สุด
อีกสิ่งที่เด่นชัดในงานของเขาคือความเหงา ความโดดเดี่ยว และความแตกต่าง
#ชีวิตอัศจรรย์ที่ฮิปโปมอบให้ฉัน คือประวัติศาสตร์ของครอบครัวหนึ่งที่ผสมปนเปไปทั้งความสุข ความทุกข์ ความหวัง และความปวดร้าว เราขอชวนไปสัมผัสและเป็นพยานรับรู้ชีวิตของผู้คนบนถนนปาแลโมไวย์ที่นำเสนอควบคู่กับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โลกเป็นฉากหลัง แต้มแต่งด้วยเสียงดนตรี งานศิลปะ และความเปลี่ยนผันของสังคมในประเทศเดนมาร์ก
———– ชีวิตอัศจรรย์ที่ฮิปโปมอบให้ฉัน
When Life Gives You Hippos
ผู้เขียน แอนเน็ตต์ บีเยิร์กเฟลด์
ผู้แปล รสวรรณ พึ่งสุจริต
ออกแบบปก Por Thanwarath
แท็ก
Related Content

Reading and Feeling อ่านเล่มนี้แล้วจะรู้สึก…?
หนังสือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ บางครั้งมันทำให้เราทิ้งโลกความ…

‘อาเธอร์ โชเปนเฮาเออร์’ นักปรัชญาผู้หม่นหมอง
“ความเมตตาสงสารเป็นพื้นฐานของศีลธรรม” นักปร…

นักวิจารณ์ภาพยนตร์ผู้หลงใหลภาพเคลื่อนไหว และเจาะลึกวิธีคิดของโนแลนได้อย่างเก่งกาจ
ทอม โชน หลงใหลภาพยนตร์มาตั้งแต่เด็ก เขาพยายามค้นหาว่าเบ…