นี่คือข้อความจากคนที่เคยจิตใจแตกสลาย ถึงคนที่มีบาดแผลเหมือนกัน

Published : กรกฎาคม 30, 2024 | Blog | Editor :

นี่คือข้อความจากคนที่เคยจิตใจแตกสลาย ถึงคนที่มีบาดแผลเหมือนกัน

กว่าสเตฟานี ฟู จะรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรค C-PTSD เธอได้รับการบำบัดมานานกว่าสิบปีแล้ว เธอพยายามวิ่งหนีจากอดีตที่ยังตามหลอกหลอน และต้องต่อสู้กับโรคตามลำพังมาเนิ่นนานตั้งแต่ยังเด็ก แต่เมื่อผลวินิจฉัยออกมาชัดเจนเช่นนี้ เธอก็รู้แล้วว่าการรักษาที่ถูกต้องควรเริ่มจากตรงไหน

สิ่งสำคัญที่สุดที่เสเตฟานีเรียนรู้จากการรักษาตัวเองคือ แม้คุณจะให้อภัยใครต่อใคร แต่หากคุณไม่สามารถโอบกอดและยอมรับข้อบกพร่องที่ตัวเองมีได้ บาดแผลในใจจะไม่มีทางหายสนิทอยู่ดี

“PTSD บอกฉันอยู่เสมอว่าฉันอยู่ตามลำพัง ไม่มีใครสามารถรักฉันได้ ฉันเป็นพิษ แต่ตอนนี้ทุกอย่างแจ่มแจ้ง ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหก PTSD ทำให้ฉันมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ ต่างหาก”

เธอจึงตั้งใจเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้มา เพราะการรักษานั้นใช่แค่การกลับไปทำความเข้าใจคนที่เคยทำร้ายเธอและสำรวจอดีตของครอบครัว แต่เธอยังต้องการแก้ไขสิ่งที่เคย ‘เข้าใจผิด’ มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการมองตัวเองในแง่ร้าย รวมไปถึงเอื้อมมือออกไปช่วยเหลือคนอื่นที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

‘รอยทรงจำในกระดูก’ คล้ายสมุดบันทึกจากเรื่องจริงของ ‘สเตฟานี ฟู’ ที่ทั้งทรงพลัง เปิดเผยจริงใจ และเชื่อว่าจะติดอยู่ในใจของผู้อ่านเนิ่นนาน ในวัยสามสิบ สเตฟานีตรวจพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรค complex PTSD: Complex Post-Traumatic Stress Disorder หรือ ภาวะผิดปกติทางจิตใจที่เกิดจากการเผชิญเหตุการณ์รุนแรงซ้ำ ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน

ขั้นตอนการรักษาได้พาเธอหวนกลับไปสู่ความทรงจำในวัยเยาว์ ความรุนแรงภายในครอบครัวที่ประกอบสร้างตัวตนอันโศกเศร้าของเธอขึ้นมา ยังมีประวัติศาสตร์ครอบครัวที่เมื่อย้อนกลับไปแล้ว สเตฟานีก็ได้เข้าใจว่าไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ยากลำบาก ความทุกข์ทรมานถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทวดของเธอ ปู่ย่า พ่อแม่ และมาถึงเธอในที่สุด

“โปรดโอบกอดตัวเองในวัยเด็ก และบอกเด็กน้อยคนนั้นว่า เธอสมควรได้รับความรัก”

หนึ่งในรูปแบบการบำบัดที่สเตฟานีเคยใช้คือ EMDR หรือ Eye Movement
Desensitization and Reprocessing

เป็นกระบวนการที่มีลักษณะคลายการสะกดจิต ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยทบทวนความบอบช้ำทางจิตใจในอดีต

สเตฟานีเล่าว่าระหว่างการบำบัดครั้งนั้น เธอได้ย้อนเวลากลับไปตอนตัวเองอายุ 12 ปี ทำให้เธอได้รับรู้และเข้าใจความกลัวของเด็กหญิงสเตฟานีในตอนนั้น ซึ่งคนที่จะปลอบใจและเข้าใจเธอได้ดีที่สุดมีเพียงตัวเธอเอง

การบำบัดแบบ EMDR มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับบาดแผลทางจิตใจในวัยผู้ใหญ่ มากกว่าผู้ป่วยที่มีบาดแผลทางจิตใจในวัยเด็ก

“ไม่สำคัญว่าพ่อแม่จะภูมิใจในตัวฉันหรือเปล่า
ฉันภูมิใจในตัวเอง และนั่นก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุด”

สเตฟานีเคยคิดว่าต้องรอให้คนอื่นอนุญาตจึงจะรู้สึกดีกับตัวเองได้ ในทางตรงกันข้าม เธอสามารถตำหนิติเตียนและกระหน่ำทำร้ายตัวเองด้วยความคิดได้ตลอดเวลา

เธอสงสัยในตัวเอง
เธอผิดหวังในตัวเอง
เธอเสียใจในตัวเอง

กระทั่งในที่สุด เธอก็เข้าใจว่าการรักตัวเองนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาอนุญาต

“คำภาษาจีนสำหรับ ‘ความอดทน’
คือคำว่า ‘มีด’ ที่อยู่ด้านบนของคำว่า ‘หัวใจ’
เราเดินไปมาพร้อมกับมีมีดปักอยู่ในใจ”

คำว่า ‘อดทน’ เป็นคำที่สอดคล้องกับชีวิตของสเตฟานี รวมถึงบรรพบุรุษผู้หญิงทุกคนในตระกูลของเธอ พวกท่านต้องเติบโตมาท่ามกลางความยากไร้ ความหวาดกลัว ความหิวโหย และภัยสงคราม จนกระทั่งผู้หญิงทุกคนในครอบครัวดูจะคุ้นเคยกับความเจ็บปวดแม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ยุติธรรมเลยก็ตาม

และความเจ็บปวดที่กักเก็บไว้จนฝังลึกลงในกระดูกของบรรพบุรุษเหล่านั้น ก็ได้ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นมาถึงลูกหลานในปัจจุบัน

“ฉันอาจเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง
ที่มีข้อบกพร่องและยังคงเติบโตอยู่
แต่ก็เต็มไปด้วยแสงสว่าง”

‘รอยทรงจำในกระดูก’ เป็นหนังสือที่สเตฟานีเขียนขึ้นหลังผ่านการเดินทางเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ รวมถึงทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ท้ายที่สุดนั้นเธอยอมรับว่าตัวเองไม่สมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง แต่เธอพร้อมจะเรียนรู้เพื่อก้าวต่อไป รวมถึงบุกเบิกเส้นทางไว้ให้คนอื่นได้เดินตาม

แท็ก


Related Content