“Dune” เป็นมหากาพย์แห่งการเมือง การทรยศ ความเหลื่อมล้ำทางนิเวศวิทยา และการปลดปล่อยจากพระเมสสิยาห์
ดูนได้สร้างจักรวาลที่ซับซ้อนและเป็นจริงขึ้นมาสำหรับนักอ่าน เรื่องราวตั้งอยู่บนการต่อสู้เพื่อควบคุมดาวอาร์ราคิส ดาวที่มีทรัพยากรล้ำค่าที่สุดในจักรวาล มันไม่สามารถสร้างขึ้นได้ มีแต่ต้องขุดหาบนดาวนี้เท่านั้น ‘เมลานจ์ สไปซ์’ เป็นทั้งอาหาร สารเสพติด หรือในบางกรณีก็ทำให้มองเห็นอนาคต นอกจากนี้มันยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางข้ามดวงดาวด้วย ให้คุณลองนึกภาพของสารชนิดหนึ่งที่มีมูลค่าเทียบเท่าโคเคนและปิโตรเลียม นั่นแหละคือความล้ำค่าของมัน
“ใครที่กักตุนเมลานจ์เอาไว้ก็จะมีอำนาจล้นฟ้า ส่วนคนที่ไม่มีก็จะสูญสิ้นความสำคัญ”
จักรวาลถูกปกครองโดยจักรพรรดิพาดิชา ชาดดัมที่สี่ ในรูปแบบของราชาธิปไตย ซึ่งน่าสนใจมากว่าสังคมในดูนถอยกลับไปสู่ระบบกษัตริน์แทนที่จะก้าวหน้าไปสู่การปกครองรูปแบบใหม่ และในบรรดาดาวต่างๆ ก็จะมีตระกูลชนชั้นสูงที่ได้รับสถานะจากจักรพรรดิเข้าปกครอง (คล้ายกับระบบศักดินา)
ตระกูลสองตระกูลที่ขับเคี่ยวกันอยู่และเป็นที่รู้ดีว่าไม่ลงรอยกันก็คือ ตระกูลอะเทรดีส และตระกูลฮาร์คอนเนน การต่อสู้ระหว่างพวกเขาไม่ต่างอะไรจากสงครามเย็น แต่ในที่สุดก็เหมือนจะมีผู้ชนะในสงครามนี้จากความช่วยเหลือของผู้ทรยศ! ตระกูลหนึ่งต้องล่มสลายเพื่อให้อีกตระกูลคงอยู่
นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของระบบทุนนิยที่ถูกผูกขาดโดยองค์กรเอกชนอย่างโชมคัมปานี ไม่ว่าจะสัญญาในการขุดหาสไปซ์หรือการเดินทางข้ามอวกาศต่างก็ถูกผูกขาดไว้ที่นี่ และมันก็ทำให้กลายเป็นผลสืบเนื่องที่พวกเขาสามารถควบคุมการตัดสินใจของรัฐบาลได้โดยอ้อม เนื่องจ่กจักรพรรดิและชนชั้นสูงมีหุ้นในบริษัท
แล้วไหนจะเรื่องของกลุ่มเฟรเมนที่เป็นชนพื้นเมืองของดาวอาร์ราคิสอีก พวกเขาถูกขับไล่จากถิ่นฐานของตัวเองและกลายเป็นคนชายขอบ เฟรเมนต้องการปกครองตนเองไม่ใช่อยู่ภายใต้การปกครองของคนแปลกหน้า ตระกูลฮาร์คอนเนนเองก็เคยปกครองอาร์ราคิสมาก่อนเช่นกัน พวกเขาทำการกวาดล้างเฟรเมนอย่างโหดร้าย ความหวังเดียวของชาวเฟรเมนจึงเป็นรอคอย ‘ผู้ปลดปล่อย’ สุรเสียงจากโลกเบื้องนอกตามคำพยากรณ์ และบางทีเวลานั้นอาจใกล้มาถึงแล้ว!
ทั้งหมดนี้คือความฉลาดเฉลียวของแฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต นิยายไซ-ไฟจากปลายปากกาของเขาเต็มไปด้วยเวทมนต์ที่ไม่ธรรมดา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ แต่กลับลุ่มลึกไปด้วยรายละเอียดอื่นอีกมากมาย