Coffee Talk:เมื่อการอ่านพาเธอเดินทางเข้าไปยังหัวใจตัวเอง เน – สุวจนา พินิจชัชวาล สาวนักอ่านจากเพจ “ฉัน หนัง สือ”

Published : พฤษภาคม 5, 2023 | Blog | Editor :

Coffee Talk:เมื่อการอ่านพาเธอเดินทางเข้าไปยังหัวใจตัวเอง
เน – สุวจนา พินิจชัชวาล สาวนักอ่านจากเพจ “ฉัน หนัง สือ”

บ่ายของวันสบายๆ ในสัปดาห์ที่เหนื่อยล้าจากการงาน เราชวนหญิงสาวคนหนึ่งผู้รักการอ่านมานั่งคุยกัน พลางจิบกาแฟอร่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นใน Knock Knock Cafe & Bar คาเฟ่มาแรงย่านอารีย์ที่ประดับตกแต่งร้านอย่างมีสไตล์ ให้ความรู้สึกคล้ายนั่งพักผ่อนคลายในตัวบ้าน

เหมาะเจาะอย่างยิ่งที่จะเข้าไปแอบอิงพิงหลังนั่งอ่านหนังสือดีๆ ที่ว่าด้วยชีวิตและจิตใจ

“สวัสดีค่ะ เน เป็นเจ้าของเพจ ฉัน หนัง สือ ค่ะ” ชื่อจริงของเธอคือ สุวจนา พินิจชัชวาล หรือที่นักอ่านรู้จักเธอในฐานะแอดมินเพจ ฉัน หนัง สือ ที่มีผู้ติดตามกว่า 3.2 แสนคน เธอเล่าคร่าวๆ ว่าสาเหตุที่ทำเพจนี้เพียงเพราะชอบจดบันทึกถึงหนังสือที่อ่านแล้วประทับใจ จึงอยากจะถ่ายทอดมุมมองของเธอแก่นักอ่านคนอื่นๆ จนถึงตอนนี้เธอก็ยังอ่านหนังสือทุกวัน พกมันติดตัวราวกับปัจจัยที่ 5

ตลอดชีวิตนักอ่าน มีหลายเล่มที่ช่วยเยียวยาจิตใจเธอให้ผ่านพ้นคืนวันแย่ๆ อีกหลายเล่มพาเธอไปรู้จักชีวิตในด้านที่ไม่รู้จัก และอีกหลายเล่มที่พาเธอเดินทางกลับมารู้จักตัวเอง

จริงๆ ไม่ใช่แค่การอ่าน ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับคุณเนที่น่าสนใจ เช่น การเดินทาง หรือชีวิตที่เคยหลงทางเหมือนตัวละครใน “The Why Café คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง” Be(ing) จึงถือโอกาสนี้พาเธอมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก มาอ่านชีวิตของเธอไปด้วยกันนะ

“เนทำงานหลักอยู่ในทีมคอนเทนต์ของบริษัทเอเจนซี่ ก็อยู่ในสายดิจิตอลเอเจนซี่มาเป็น 10 ปีแล้วตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ”

การทำคอนเทนต์หรือคนผลิตเนื้อหา จำเป็นต้องหา ‘วัตถุดิบ’ ให้ตัวเองอยู่ตลอดเพื่อต่อยอดไปเป็นไอเดียทำงาน และการอ่านก็เป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นดีของคุณเน

“เนเรียนจบเอกภาษาไทย และอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก พอต้องมาทำงานเลยรู้ว่า สิ่งที่เราเรียนมาและที่อ่านมา มันได้เอามาใช้งานจริงๆ นะ ทำให้เราเริ่มต้นไม่ยาก เพราะมีคลังคำ คลังไอเดียอยู่ในหัว และเราก็สนุก เนทำมาหลายปีแล้ว น่าจะเป็นการพิสูจน์ว่า มันคือสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ”

“เวลาแม่พาไปห้างฯ เนจะขอแม่ไปร้านหนังสือตลอด ไปยืนอ่านนิทานเล่มบางๆ 15 บาท จนมาเป็นการ์ตูน ขายหัวเราะ มหาสนุก ก็ซื้อทุกอาทิตย์ พอสัก ป.5-6 ก็มาอ่านวรรณกรรมเยาวชน วรรณกรรมคลาสสิกต่างๆ อ่านหมดเลย จนโตขึ้น ก็ได้อ่านหนังสือที่หลากหลายขึ้น เปลี่ยนไปตามวัย รู้ตัวอีกทีก็ต้องมีหนังสือติดตัวตลอด เหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว”

อะไรคือเสน่ห์ของการอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ ในยุคสมาร์ทโฟน

“มันคือการใช้เวลา คือการสัมผัสประสบการณ์ แต่จริงๆ โซเชียลมีเดียทำให้คนเห็นหนังสือมากขึ้นด้วยซ้ำ ทำให้เรามีช่องทางโปรโมทหนังสือมากขึ้น อย่างเพจของเน ก็มีเด็กๆ มากดไลค์เยอะ เนอยากให้เขารู้สึกเหมือนไปร้านหนังสือเวลาเข้ามาเพจ ผ่านโควทหรือประโยคสั้นๆ ทดแทนการไม่ค่อยได้ไปร้านหนังสือจริงๆ”

เมื่อออกตัวว่าเป็นคนอ่านหนังสือทุกประเภท เธอย่อมไม่พลาดหนังสือแนวท่องเที่ยวที่เคยเป็นที่นิยมมากๆ ในช่วงเวลาหนึ่งแน่นอน

“มันเริ่มจากญี่ปุ่น-เกาหลี คือซีรีส์เขาฮิตมากเนอะ เนก็เริ่มจากไปหาหนังสือสารคดีท่องเที่ยวมาอ่าน ด้วยความที่ไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลย ก็รู้สึกตื่นเต้นไปหมด มันมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมเขากินอะไรอย่างนี้ ชีวิตความเป็นอยู่เขาเป็นอย่างนี้เหรอ จนพอทำงาน เก็บเงินไปเที่ยวได้ ก็จิ้มจากหนังสือเลย แพลนจะไปที่โน่นที่นี่ แต่พอไปเที่ยวจริงๆ เฮ้ย มันต่างจากในหนังสือมากเลยนะ”

“การท่องเที่ยวคือการเรียนรู้ ออกไปเจอสิ่งที่ต่างจากที่เราเจอทุกวัน มันทำให้เรามีมุมมองความคิดที่กว้างขึ้น สิ่งเหล่านี้มันต้องมาเห็นเองด้วยตา แต่ถ้าให้นึกย้อนกลับไป ก็ต้องบอกว่า เนอยากออกไปเที่ยวก็เพราะหนังสือนี่แหละ”

“ทริปที่ชอบมากกก คือฮาวาย ไปมาล่าสุด เขาเหมือนเป็นประเทศแห่งการพักผ่อน ทุกคนใส่ชุดว่ายน้ำเดินริมถนน อะโลฮ่าเหมือนในหนังเลย แล้วสิ่งหนึ่งที่ประทับใจคือตอนเช้าๆ จะเห็นคนวิ่งออกกำลังกายเยอะมาก ทั้งเด็ก คนแก่ วิ่งกันไปเรื่อยๆ ในเมือง อาจจะเพราะเมืองเขามีสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คนใช้ชีวิตกันแบบนี้ได้ด้วย เห็นแล้วก็คิดว่า เออ ชีวิตเขาดีจัง”

แล้วทริปที่ ‘หลงทาง’ ล่ะ

“ไต้หวัน ช่วงหน้าฝน เนเช่ามอเตอร์ไซค์ขับ แล้วฝนตกหนักมาก ตกตลอดเวลา ต้องใส่เสื้อกันฝนขี่มอเตอร์ไซค์ ในขณะที่ต้องดูแมพไปด้วย ยากมากเลยนะ แล้วมีร้านนึงที่ปักหมุดไว้ตั้งแต่กรุงเทพฯ ว่าจะต้องไปให้ได้ แต่พอไปถึง ร้านหายไปไหนไม่รู้ นี่มันเรียกว่าหลงทางใช่ไหม (หัวเราะ)”

“ตอนนั้นหิวมาก เลยหาร้านแถวนั้นกิน ไปเจอร้านบะหมี่เนื้อที่ดูโฮมเมดมาก ไม่มีคนเลย เราก็เข้าไป เจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษได้ และพูดจากับเราดี ก็สั่งไปชามนึง อร่อยมากกกก นั่งยาวเลยทีนี้ คุยกับเจ้าของว่าถ้าเป็นไปได้ก็จะกลับมาทุกปี จดไว้เลย เนี่ย…การหลงทางมันไม่ได้แย่เสมอไปนะ
มันอาจจะพาเราไปเจอสิ่งที่ดีกว่า พาเราไปเจอร้านอร่อยๆ หรือพาเราไปรู้จักสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้”

“ไม่มีการเดินทางหรือชีวิตที่เป็นไปตามแพลน 100%”

“แต่ละจังหวะชีวิต มันมีอุปสรรค มีความไม่ราบรื่นอยู่แล้ว เนก็เจอมาเยอะ ทั้งครอบครัว การงาน ความรัก มันก็จะมีทางออกของมัน สำคัญเลยคือสติ ถามตัวเองว่าทำอะไรอยู่ ต้องการอะไรจริงๆ และลำดับความสำคัญ อะไรต้องแก้ก่อน อะไรต้องใช้เวลา หรืออะไรแก้ไม่ได้ ถ้าจะปล่อยก็ต้องปล่อย”

“เนเชื่อว่าทุกคนต้องเคยหลงทาง แต่มันก็คือชีวิต คือการเรียนรู้ที่จะทำให้เราโตขึ้น และกลายเป็นคนใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ”

อย่างคุณเนตอนนี้ กับเมื่อ 10 ปีก่อนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ ต่างกันแค่ไหน

“โอ้โหต่างมาก แต่ก่อนเนเครียดง่าย คิดเยอะ กลัวว่าคนอื่นจะคิดกับเรายังไง กลัวจะทำงานไม่ดี กลัวจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผ่านไป 10 ปี เรื่องงานไม่ใช่เรื่องที่เนคิดเป็นอันดับ 1 เราเรียนรู้วิธีรับมือกับความเครียดจากงานได้ ตามประสบการณ์ที่เราเจอ เราจัดการกับมันได้มากขึ้น และมีเวลาให้ตัวเอง ใช้ชีวิตกับปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด”

“เนไม่เคยวางแผนว่าอีก 5 ปีแต่งงาน อีก 10 ปีมีลูก หรืออีก 15 ปีเลื่อนขั้น เนจะแพลนแค่ใกล้ๆ ว่าอยากมีชีวิตที่ Work Life Balance ให้ได้ทุกวัน มีความสุขกับสิ่งใกล้ๆ ตัว เพราะชีวิตมันไม่แน่นอนเนอะ สิ่งที่แน่นอนคือปัจจุบัน”

เราโยนสถานการณ์สมมติ ให้คุณเนเป็นตัวละครใน “The Why Café คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง” ที่หลงทางเข้าไปในร้าน แล้วพลิกเมนูไปเจอ 3 คำถามที่ชวนฉุกคิดเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง อยากรู้ว่าคุณเนจะตอบคำถามเหล่านี้ว่ายังไง

1.เหตุใดคุณจึงมาที่นี่

“จริงๆ คิดไว้ว่าจะตอบว่าเพราะหิวกาแฟ (หัวเราะ) แต่ถ้าคำว่า ‘ที่นี่’ หมายถึงโลกหรือชีวิต เนก็เชื่อว่าเรามาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตและเรียนรู้ไปจนวันตาย ความหมายของชีวิตอาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องค้นหาเสมอไป ในเมื่อทุกวันคือการใช้และเรียนรู้มันอยู่แล้ว”

2.คุณกลัวตายไหม

“ไม่กลัวค่ะ แต่เนอยากตายตอนที่ไม่มีคนที่รักเนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว อยากตายตอนเหลือตัวคนเดียว ซึ่งตอนนี้ยังตายไม่ได้ เพราะยังมีคนที่รักเราอยู่อีกเพียบเลย เราไม่อยากให้เขาเสียใจในวันที่เราจากไป”

3.คุณพึงพอใจกับชีวิตหรือยัง

“พอใจนะ เนมีงานที่ชอบทำ มีครอบครัวที่ถึงจะไม่สมบูรณ์ ก็รักเรา ได้ทำสิ่งที่รักหลายอย่าง เช่น การทำเพจ หรือการวิ่งมาราธอน อนาคตอาจจะมีสิ่งที่อยากทำอีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร แต่ ณ ตอนนี้เนพอใจกับชีวิตแล้ว”

“ด้วยความที่ออกไปไหนลำบากเนอะช่วงนี้ สถานที่พักใจของเนก็เลยเป็นบ้าน เนติดบ้านมาก และพยายามหาทุกอย่างที่ชอบมาไว้ที่บ้าน ชอบออกกำลังกายก็ซื้อลู่วิ่งมาไว้ที่บ้าน ชอบอ่านหนังสือ ก็ทำมุมอ่านหนังสือที่บ้าน ชอบทำอาหาร ก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มหม้อทอดไร้น้ำมันเรียบร้อย พยายามใช้ชีวิตที่บ้านให้มีความสุข ก็เลยค่อนข้างพึงพอใจในชีวิต”

สิ่งหนึ่งที่คุณเนพบบ่อยๆ จากการทำเพจที่มีคนติดตามหลายแสนคน คือมักมีคนส่งข้อความมาปรึกษาในเรื่องที่นอกเหนือจากการอ่าน ซึ่งมันก็ทำให้เธอได้ทบทวนตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยเหมือนกัน

“ชอบมีน้องๆ ในเพจทักมาถามว่า ไม่มีแพชชั่นเลย อยากมีเป้าหมายในชีวิตแบบเนบ้าง จริงๆ มันไม่ใช่เป้าหมายนะ แค่เราทำแล้วมีความสุข เราก็เลยทำ ขณะเดียวกัน คนที่ยังไม่พอใจในชีวิตก็ไม่ใช่ว่าผิดหรือไม่ดีนะ แต่อยากให้ลองผลักดันความไม่พึงพอใจนั้นเป็นแรงกระตุ้นของชีวิตดู เผื่อมันจะพาเราไปสู่จุดที่พอดีและมีความสุขได้”

“สำหรับใครที่กำลังรู้สึกว่าชีวิตช่างรวดเร็วและเหนื่อยล้า ลองอ่าน ‘The Why Café คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง’แบบช้าๆ ดู มันอาจจะสะท้อนสิ่งที่เราคิด ที่เราเป็น หรือที่เราค้นหาอยู่ ผ่านตัวหนังสือ และอาจทำให้เราได้ทบทวนชีวิตอีกครั้งก็ได้”

Special Thanks to ฉัน หนัง สือ / Knock Knock Cafe & Bar

แท็ก


Related Content