“ในแต่ละเดือน พวกเรากว่า 1 พันล้านคนใช้งานอินสตาแกรม เราถ่ายรูปและวิดีโออาหารของเรา ใบหน้าของเรา ทิวทัศน์มุมโปรดของเรา ครอบครัวของเรา และสิ่งที่อยู่ในความสนใจของเรา จากนั้นก็แชร์ออกไปโดยหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะสะท้อนอะไรบางอย่างที่เป็นตัวเราหรือคนที่เราอยากจะเป็น”

หลายแอปที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงโลกไปมากบ้างน้อยบ้าง แต่กับ ‘อินสตาแกรม’ มันพลิกการใช้ชีวิตของเราไปเลย อินสตาแกรมสร้างความเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิต วัฒนธรรม คุณค่า เศรษฐกิจ มันกลายเป็นพื้นที่มากมูลค่าที่ใครๆ ก็สามารถเข้ามาสร้างรายได้ได้
อินสตาแกรมมีบทบาทอย่างมาก มันซึมเข้าสู่สังคมอย่างช้าๆ และไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใช้งานแอปหรือไม่ คุณก็หนีไม่พ้นผลกระทบของมัน มันเป็นเหมือนเชื้อเพลิงให้เกิดสิ่งต่างๆ ตัวเลขคือสิ่งที่มีอิทธิพล ยอดไลก์ ยอดผู้ติดตาม ยอดวิว แล้วมันก็สร้างผู้มีอิทธิพลขึ้นมา เกิดเป็นอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ พื้นที่สร้างสรรค์กลายเป็นพื้นที่โฆษณา เซเลบริตียึดคืนเรื่องราวส่วนตัวมาจากปาปารัสซี มันคือเครื่องมือที่เราใช้ปลดล็อกสถานะทางสังคม
ชาลส์ พอร์ช คือชื่อหนึ่งที่เป็นฟันเฟืองสำคัญให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ทีแรกซิสทร็อมยังลังเลที่จะรับกลุ่มคนดังเข้ามาในอินสตาแกรม “เพราะคิดว้่แอปนี้มีไว้โพสต์สิ่งที่คนได้เห็นและได้สัมผัสมามากกว่าการโปรโมทตัวเอง” แต่พอร์ชเป็นคนเข้าใจเรื่องวัฒนธรรมป็อปกระแสหลัก และสามารถช่วยให้อินสตาแกรมเติบโตได้มากกว่าที่เป็น
แล้วเขาก็เริ่มชวนคนในแวดวงแฟชั่น ซึ่งถ้ามันได้ผลคนดังในฮอลลีวูด นักดนตรี นักกีฬา และทุกแวดวงก็จะตามมา และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ คนแรกๆ ที่เล็งเห็นการสร้างรายได้ด้วยการโพสต์ถึงแบรนด์และสินค้าคือ คิม คาร์แดเชียน ครอบครัวเธอได้รับค่าจ้างมหาศาลจากโพสต์ที่แทรกสินค้าเข้าไป
หลังจากนั้นอินฟลูเอนเซอร์ก็กลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้ตั้งแต่คนธรรมดาๆ ไปจนถึงเซเลป หลายคนลาออกจากงานประจำมาทำสิ่งที่ตัวเองสนใจ เผยแพร่เรื่องราวของตัวเองบนโลกออนไลน์ และหารายได้จากสิ่งนั้น
แต่ไม่มีใครและแอปไหนจะทำหน้าที่ “อินฟลูเอนเซอร์” ได้มากไปกว่าตัวแอป “อินสตาแกรม” เอง
ผู้สร้างเคยต้องการให้มันสร้างคุณค่าอีกแบบหนึ่ง แต่ผู้กำหนดทิศทางไม่อาจเป็นพวกเขาตลอดไป มันเปลี่ยนผ่านจากมือพวกเขาไปสู่มือผู้ใช้งานและเงิน “แม้คุณจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจในระดับสูงที่สุดแล้วก็ตาม คุณก็อาจไม่ได้สิ่งที่ต้องการเสมอไปอยู่ดี”

นี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมดใน “โนฟิลเตอร์ ไม่มีใครเหมือนอินสตาแกรม”