นาทีนี้ทุกคนต่างยอมรับว่า Dune เป็นนิยายไซไฟที่โด่งดังและมีผู้อ่านมากที่สุดตลอดกาล แต่รู้ไหมว่านิยายไม่ได้ประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน และถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธที่จะตีพิมพ์กว่า 20 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่กล่าวว่าเป็นหนังสือที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและชวนสับสน รวมถึงความยาวที่เกินมาตรฐานในช่วงเวลานั้น และราคาปกก็ไม่ใช่เล่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว Dune ก็ได้รับการตีพิมพ์และค่อยๆ สั่งสมชื่อเสียงมาทีละน้อยจนได้รับรางวัลใหญ่ๆ จากหลายเวที อาทิ รางวัลเนบิวลาสำหรับนวนิยายที่ดีที่สุด และหนังสือก็มักถูกอ้างถึงว่าเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของจอร์จ ลูคัส สำหรับการเขียน Star Wars
Dune ภาคแรกมียอดขายมากกว่า 20 ล้านเล่นและถูกตีพิมพ์มากกว่า 10 ภาษา และนี่คือเรื่องที่คุณน่าจะอยากรู้เกี่ยวกับจักรวาลของดูน

แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต ได้รับแรงบันดาลใจจาก Moving Sand ของโอเรกอน
ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยบทความในนิตยสาร ในช่วงทศวรรษ 1950 โอเรกอนต้องเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง นั่นคือ เนินทราย กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ จึงพยายามปลูกหญ้าลงในเนินทราย เพื่อป้องกันไม่ให้ทรายเคลื่อนตัวมากเกินไป
“เนินทรายที่ถูกลมพัด พัดมาก่อตัวเป็นคลื่นที่คล้ายกับคลื่นในมหาสมุทร ยกเว้นว่าพวกมันอาจเคลื่อนที่ได้ 20 ฟุตต่อปี แทนที่จะเป็น 20 ฟุตต่อวินาที คลื่นเหล่านี้จึงสร้างความเสียหายได้พอๆ กับคลื่นยักษ์ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน”
นี่ทำให้เขาเกิดความสนใจในระบบนิเวศน์วิทยา เขาจินตนาการถึงโลกที่ถูกทะเลทรายแซงหน้า และมีนักดาวเคราะห์วิทยาเพียงคนเดียวที่หมกมุ่นอยู่กับการทวงคืนมัน ซึ่งเป็นโครงร่างในช่วงแรกๆ ของ Dune 

นักวิจารณ์ไม่ได้ปลื้ม Dune มากนักในช่วงแรก
ดูเหมือนว่าทุกคนที่อ่าน Dune จะชอบหนังสือ ยกเว้นนักวิจารณ์ นิยายไซไฟในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เต็มไปด้วยเรื่องราวการผจญภัยและการต่อสู้ด้วยเลเซอร์ในอวกาศสไตล์บัค แต่ Dune ไม่ได้มาพร้อมสิ่งเหล่านั้น ซ้ำยังมีข้อจำกัดในการใช้เทคโนโลยีบางอย่างเมื่ออยู่บนดาวอาร์ราคิส
นักวิจารณ์ในยุคแรกตำหนิเฮอร์เบิร์ตที่ผลักฉากแอ็กชันให้เป็นเนื้อหาย่อย และมุ่งเน้นไปที่สาเหตุและผลที่ตามมา แทนที่จะเป็นเอเลี่ยนหรือยูเอฟโอ
หาก The Lord of the Rings เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของลัทธิฟาสซิสต์ และ Game of Thrones ก็เป็นเรื่องที่สมจริงสมจังทางการเมือง สิ่งที่ทำให้ Dune ผงาดเหนือกาลเวลาขึ้นมาได้ล่ะคืออะไร? มันคือทุกอย่างที่ผสมผสานอยู่นอกเหนือไปจากความแฟนตาซี เช่น ความเครียดจากสิ่งแวดล้อม ศักยภาพของมนุษย์ สภาวะจิตสำนึกที่เปลี่ยนแปลงไป การสร้างตำนานและศาสนา วิกฤตเกี่ยวกับทรัพยากร การผูกขาดการตลาด และการต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งสิ่งนี้ก็ไปสอดคล้องกับ “ยุคของอแควริอัส” (Age of Aquarius) ที่เหมือนว่ากำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลาของปัจจุบัน 

Dune ได้รับอิทธิพลมาจากเห็ดเมา
ในจักรวาลของดูน ทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดคือ ‘สไปซ์’ หรือ ‘เมลานจ์’ ที่พบได้เฉพาะบนดาวอาร์ราคิสเท่านั้น มันมีคุณสมบัติมากมาย ถ้าใช่ในการกินดื่มจะทำให้เมาหรือเกิดอาการประสาทหลอนได้ หากกินมากๆ ก็ทำให้เกิดการเสพติด และในบางกรณีมันเพิ่มขีดจำกัดวามสามารถในการมองเห็นอนาคต 

หนังสือเคยถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาก่อน
Dune ถูกนำไปดัดแปลงครั้งแรกเป็นภาพยนตร์ กำกับโดยเดวิด ลินช์ ในปี 1984 แม้จะกลายเป็นผลงานคลาสสิกไปแล้ว แต่ในขณะนั้นผลงานกลับไม่น่าพึงพอใจเท่าไรนัก ทั้งจากตัวผู้กำกับเอง จากคำวิจารณ์ และจากความล้มเหลวด้านรายได้ ซึ่งตัวลินซ์เองก็ออกมากล่าวโทษถึงโปรดิวเซอร์ที่กดดันต่อการทำงานจนส่งผลเสียต่อหนัง
หนังสือยังถูกนำไปดัดแปลงเพื่อฉายทางโทรทัศน์ด้วย
ในช่วงแรกๆ Sci-Fi Channel (ปัจจุบันคือ Syfy) ได้สร้างละครสองเรื่องดัดแปลงจาก “Dune” ของเฮอร์เบิร์ต: “Frank Herbert’s Dune” ปี 2000 และ “Frank Herbert’s Children of Dune” ปี 2003 ซึ่งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความละเอียด และเนื้อหายังบกพร่องไปมาก ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับการตอบรับดีกว่าาพยนต์ของลินซ์ 

แน่นอนว่า Dune ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และซีรีส์อีกครั้ง
ระหว่างปี 2008-2011 Paramount Pictures มีความพยายามที่จะสร้างดูนอีกครั้ง แต่ก็ล้มเหลว จากนั้นในช่วงปลายปี 2016 มีการประกาศว่า Legendary Entertainment (ในขณะนั้นอยู่ภายใต้ Universal Studios แต่ปัจจุบันอยู่ภายใต้ Warner Bros.) ได้รับทั้งสิทธิ์ในภาพยนตร์และทีวีสำหรับดูน และยืนยันในภายหลังว่าผู้ได้ เดอนี วีลเนิฟว์ มาเป็นผู้กำกับ
ในเดือนมีนาคม 2018 วีลเนิฟว์ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าเขาวางแผนที่จะดัดแปลงนิยายเรื่องนี้ให้เป็นซีรีส์ภาพยนตร์สองตอน จากนั้นในเดือนมิถุนายน 2019 ก็มีการประกาศเกี่ยวกับซีรีส์ Dune: The Sisterhood ที่จะฉายใน HBO Max เนื้อหาจะเน้นไปที่สำนักเบเนเจสซิริต ซึ่งเป็นกลุ่มสตรีโบราณที่ทรงพลังและมีต้นกำเนิดที่ลึกลับ