มองมนุษย์ผ่านเมืองที่เคยอยู่

Published : พฤศจิกายน 1, 2024 | Blog | Editor :

หากวางผังเมืองได้ถูกต้อง คุณก็จะได้ประชาชนที่ดีขึ้น

เมื่อเมืองที่วุ่นวาย ไร้การวางแผน ถูกรื้อแล้วสร้างใหม่ตามหลักวิทยาศาสตร์หรือปรัชญา เมืองก็จะสมบูรณ์แบบ แล้วการอยู่อาศัยของมนุษย์ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในเมืองให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและทำความเข้าใจชีวิตก่อนหน้านี้บ้าง

เราจึงอยากชวนนักอ่านไปดูวิถีชีวิตผ่าน 5 เมืองโบราณ จากในหนังสือ ‘เมโทรโพลิส มหานครในกาลเวลา’ ที่เล่าเรื่องราวของการสร้างและการดำรงอยู่ของเมือง ผ่านประวัติศาสตร์ 26 มหานครสำคัญของโลก ข้ามผ่านกาลเวลากว่า 7,000 ปี 

ฮารัปปา (2,500 ก่อนคริสตกาล)

ฮารัปปาเปรียบได้กับเมืองยูโทเปียเพื่อประชาชนที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เมืองแห่งนี้ไม่มีพระราชวังหรือวิหาร ไม่มีหลักฐานบ่งบอกว่ามีพระหรือกษัตริย์เลยด้วยซ้ำ อาคารสาธารณะต่าง ๆ มีไว้สำหรับประชาชน รวมถึงไม่ปรากฏด้วยว่ามีทาสหรือมีความต่างของลำดับชั้นในสังคมอย่างเด่นชัด เพราะบ้านเรือนไม่ได้มีขนาดหรือมีข้าวของวัตถุแตกต่างกันเท่าไร

ชาวเมืองฮารัปปามีสาธารณูปโภคและวิศวกรรมโยธาที่ก้าวไกลและล้ำหน้า อย่างการวางผังเมืองโดยมีระบบรองรับ เช่น มีการวางระบบท่อระบายน้ำเพื่อทิ้งของเสียจากส้วมในบ้านเรือน มีการวางผังเส้นทางสัญจรรูปแบบลายตารางหมากรุก มีแม้กระทั่งถังขยะสาธารณะ อารยธรรมฮารัปปาเป็นตัวอย่างของสังคมที่สงบสุขและก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คือเมืองในอุดมคติเพื่อประชาชนที่ได้รับการออกแบบให้ถูกต้องตั้งแต่แรก

 บาบิโลน (1895 ปีก่อนคริสตกาส)

บาบิโลนเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในยุคเมโสโปเตเมียโบราณ ที่นี่เป็น “เมืองแห่งมนุษย์” ที่มีลักษณะวัตถุนิยม เต็มไปด้วยตัณหาและสับสนวุ่นวาย เป็นทั้งเมืองยุคโบราณที่รุ่งโรจน์และเป็นเมืองบาปตัวจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ‘เพศและเมืองโบราณ’ เป็นของคู่กัน เพราะพลังทางกามคือองค์ประกอบสำคัญของชีวิตเมืองยุคแรกเริ่ม

ในบาบิโลนมีโสเภณีทั้งชายและหญิงอยู่ตามวิหาร ซึ่งถูกจัดว่าเป็นการค้าประเวณีอันศักดิ์สิทธิ์แต่ยังไม่มีเหตุผลแน่ชัดว่าการกระทำนี้มีวัตถุประสงค์ทางจิตวิญญาณอย่างไร

แบกแดด (ค.ศ. 537-1258)

ครั้งหนึ่งแบกแดดเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดหรูหราที่เรือบรรทุกขุมสมบัติต่างมุ่งหน้าไปหา และเป็นสังคมที่กำหนดรสนิยมบางอย่างไปทั่วโลก เช่น การเลือกใช้คู่สีขาวกับน้ำเงินบนเครื่องกระเบื้อง

ความมหัศจรรย์จากต่างแดนที่หลั่งไหลไปที่กรุงแบกแดดนั้นส่งผลให้เมืองแห่งนี้กลายเป็น ‘โกดังความรู้’ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในศตวรรษที่ 9 พลังภูมิปัญญาและวิชาการส่วนใหญ่ถูกส่งถ่ายมาจากเมืองในเอเชียกลาง ตลอดยุคกลาง 19 ใน 20 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเมืองของชาวมุสลิมหรือไม่ก็อยู่ในจักรวรรดิจีน จัดเป็นยุคทองของภูมิภาคเหล่านั้น แม้ในยุโรป ยุคนี้คือยุคมืด

ลือเบ็ค (ค.ศ. 1226-1491)

การปรับตัวเป็นอีกสิ่งที่โดดเด่นในเรื่องราวของมหานคร ตัวอย่างกระบวนการสังหารเมืองให้สิ้นในช่วงสงครามโลกนั้นโหดร้ายรุนแรง 

ลือเบ็ค คือเมืองหนึ่งที่ต้องดับสิ้นไปเมื่อถูกถล่มด้วยระเบิดเพลิง 25,000 ลูก แต่ก่อนหน้านั้นเมืองนี้คือนครแห่งสงคราม และเป็นหนึ่งในมหานครการค้าที่โดดเด่นที่สุดของยุโรปเหนือในยุคกลาง ที่สำคัญคือมีเทคโนโลยีทางการทหารที่ก้าวหน้ามาก เมืองนี้เป็นของ “นครอิสระ” คือเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีประสิทธิภาพ ร่ำรวย เป็นเมืองที่มีการปกครองตัวเองและมีกองทหาร เป็นฐานรากสำหรับการก้าวขึ้นมามีอิทธิพลระดับโลกของยุโรป เมืองนี้แข็งแกร่งและถูกหล่อหลอมมาด้วยสงคราม ซึ่งตรงข้ามกับจุดเริ่มต้น เมื่อชุมชนดั้งเดิมของลือเบ็คมีชื่อว่า ลิวบิเซอ ซึ่งแปลว่า “น่ารัก”

ทุกวันนี้ลือเบ็คคือหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในบรรดาเมืองของยุโรปตอนเหนือ เต็มไปด้วยถนน ยุคกลางที่คั่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอทิกอันงดงาม

ลิสบอน (ค.ศ. 1492-1666)

ลิสบอนคือพิพิธภัณฑ์ของโลกที่ถูกค้นพบในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงทางการค้าของโลก นี่คือเมืองรองที่ผลักดันตัวเองจนรุ่งเรืองและมายืนแถวหน้าของยุโรปได้เพราะดึงเอาเส้นทางการค้าเข้ามาอยู่ในวงโคจร ที่ท่าเรือของเมืองนี้เต็มไปด้วยข้าวของสารพัดเท่าที่เราจะจินตนาการออกมาได้ ตั้งแต่เมล็ดพริกไทยไปจนถึงจระเข้ตัวมหึมาและคณะนักร้องประสานเสียง

เมื่อแรกเริ่มก่อตั้ง เมืองนี้ประกอบไปด้วยทาสชาวแอฟริกาเป็นหลักและมีชุมชนมุสลิมขนาดใหญ่ ต่อมามีพ่อค้าชาวยิวที่ร่ำรวยจำนวนมากย้ายมาอยู่เพิ่มขึ้น ความคละเคล้าผสมผสานจากหลากหลายวัฒนธรรมที่หยิบยืมมาทั่วโลก ทำให้ลิสบอนนำเสนอความตื่นเต้นแปลกประหลาดในแบบที่หาไม่ได้จากเมืองอื่นของยุโรป

แท็ก


Related Content